Dec 7, 2022
เจ้าของบ้าน ซ้อมคนขโมยกัญชา ช้ำในตาย ตำรวจไม่จับ อ้างมีสิทธิ์ปกป้องทรัพย์สิน
คุณลุงย่อง ลักกัญชาเพื่อนบ้าน โดนกระทืบ ช้ำในตาย ตำรวจไม่ทำคดี อ้างเข้าไปลักขโมยของบ้านผู้อื่น เจ้าของบ้าน สามารถป้องกันทรัพย์สินได้
(6 ธ.ค.65) เมื่อเวลา 17.00 น. นางวรรณา อายุ 55 ปี ชาวบ้านพรเจริญ อ. วังสามหมอ จ. อุดรธานี พร้อมด้วยญาติ รวม 7 คนเข้าพบ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณี นายคำดี อายุ 49 ปี น้องชายเข้าไปลักขโมยกัญชา ของเพื่อนบ้าน ถูกเจ้าของบ้านจับได้ รวมทั้ง ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บหนักมาก
นางวรรณา เล่าว่า สถานะการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อขณะราวๆ 22.00 น. ของคืนวันที่ 15 พ.ย. 2565
นายคำดี เป็นพ่อหม้าย มีลูกชายอายุ 18 ปี 1 คน อาศัยอยู่กระท่อมทุ่งนาของตนเอง ตนยอมรับว่า นายคำดี เป็นคนเสพกัญชา ตั้งแต่วัยรุ่น ได้เข้าไปลักขโมยต้นกัญชา ของเพื่อนบ้านจริง รวมทั้ง ถูกเจ้าของบ้านจับได้ รวมทั้ง ถูกรุมทำร้ายร่างกาย ซึ่งนายคำดี พยายามที่จะคลานออกมาภายนอกบ้าน แม้กระนั้น เจ้าของบ้านก็ตามมา กระทืบซ้ำหลายครั้ง กระทั่งนายคำดีแน่นิ่งไป
ซึ่งหลังจากนั้น มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้ง ผู้ใหญ่บ้าน มาระงับเหตุ รวมทั้ง กักคุมตัวนายคำดี ไปที่ โรงพักภูธรวังสามหมอ โดนแจ้งข้อหาทะเลาะวิวาท รวมทั้ง จับนายคำดีติดตะรางเป็นเวลา 1 คืน ก่อนจะเปรียบเทียบปรับ 500 บาท รวมทั้ง ปล่อยตัวในวันที่ 16 พ.ย.
หลังจากถูกปล่อยตัว นายคำดี ได้กลับมาที่บ้าน หลังจากนั้น มาก็นอนซมอยู่ที่บ้าน มาตลอด ไม่ออกมาจากบ้าน เนื่องจากว่าร่างกายระบมอย่างหนัก รวมทั้ง กินข้าวปลาอาหารไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด แม้กระนั้นพี่น้องไม่รู้เรื่อง เนื่องจากว่า นายคำดี ไม่ได้ออกจากบ้าน จวบจนกระทั่ง วันที่ 23 พ.ย. มีเพื่อนบ้านมาบอกว่า นายคำดีอาการไม่ดี พี่น้องก็เลยพากันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังสามหมอ นอนพักรักษาตัวอยู่ราวๆ 3 – 4 วัน
หลังจากนั้นก็กลับไปอยู่ที่บ้านวันที่ 27 พ.ย. เนื่องจากว่า นายคำดี ปฎิเสธการรักษา ไม่อยากที่จะให้แพทย์ ใส่สายยางให้อาหารทางจมูก ซึ่งเวลานี้หมอไม่ได้รับข้อมูล ว่า นายคำดี ถูกทำร้ายร่างกายมา จวบจนกระทั่งเสียชีวิต ตอนวันที่ 1 เดือนธันวาคม รวมทั้ง ทำฌาปนกิจวันที่ 2 เดือนธันวาคม
หลังจาก นายคำดี เข้าไปลักขโมยกัญชา แล้วโดนเจ้าของบ้านซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) จนบาดเจ็บหนักมาก รวมทั้ง ไปนอนรักษาตัวที่บ้าน ยาวนานกว่า 2 อาทิตย์ ไม่สามารถที่จะเดิน หรือ รับประทานอาหารได้ หลังหลังจากนั้นก็เสียชีวิต
แม้กระนั้นพอไปแจ้งตำรวจ กลับไม่ทำคดีให้ โดยกล่าวถึงว่า นายคำดี เข้าไปลักขโมยของที่บ้านของผู้อื่น ด้วยเหตุนี้เจ้าของบ้าน ก็เลยสามารถป้องกันทรัพย์สินของตนได้
รวมทั้ง มีหลักฐานจากภาพวงจรปิด ขณะที่ นายคำดี ไปลักขโมยกัญชาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ซึ่งพวกตนรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เนื่องจากว่า นายคำดี ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาก่อน อีกทั้งหลังจากที่ถูกซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) มา ก็เกิดอาการเจ็บป่วยไข้กระทั่งเสียชีวิต
ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา พวกตนเคยไปพบคู่กรณีแล้ว แม้กระนั้นตกลงกันไม่ได้ ก็เลยไปพบตำรวจ เพื่อที่จะแจ้งความดำเนินคดี กับคนประทุษร้าย นายคำดี ตำรวจก็บอกขู่ข้างของตนเอง กระทั่งนำมาซึ่งความหวาดกลัว รวมทั้ง ไม่กล้าที่จะแจ้งความ
จากสถานะการณ์ เจ้าของบ้าน ซ้อมคนลักขโมยกัญชากระทั่ง ช้ำในตาย
นางวรรณา ยังเล่าอีกว่า ตั้งแต่ถูกทำร้ายร่างกายกระทั่งบาดเจ็บ คู่ปรับ ไม่เคยมาเยี่ยม ถามไถ่ หรือ ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรเลย ตำรวจติดต่อไปเพื่อที่จะมาไกล่เกลี่ย ก็ไม่ยินยอมมา จวบจนกระทั่ง นายคำดี เสียชีวิตไป
คู่ความยังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าเกิดอยากได้เงินก็ไปฟ้องคดีเอา เพราะจะฟ้องคดีกลับ ที่มาลักขโมยต้นกัญชา ราคาเป็นแสนด้วย ซึ่งหลังจากที่ นายคำดี เสียชีวิตแล้ว ได้พยายามที่จะไปติดต่อกับตำรวจ แม้กระนั้นตำรวจกลับกล่าวว่า พวกตนผิด
ด้วยเหตุว่าไปขโมยในยามวิกาล ซึ่งเวลานี้ ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องจะทำยังไง แม้กระนั้นก็ยอมรับว่าผู้เสียชีวิตไปขโมยจริง รวมทั้ง ไม่มีหนทางช่วยเหลือ น้อยเนื้อต่ำใจตำรวจ
อ้างแต่เพียงว่า พวกตนผิดทุกอย่าง ผู้เสียชีวิตทั้งคน ซึ่งตำรวจก็ยังยืนยันว่าข้างตนผิด ซึ่งตนรู้สึกว่า เพราะอะไรฆ่าคนตายทั้งคน กลับไม่มีความผิด เพราะอะไรตำรวจไม่ให้ความช่วยเหลือ ก็เลยมาร้องขอความเป็นธรรม กับผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี
ด้าน พล.ต.ต.พิษณู อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อดรธานี เปิดเผยว่า พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งตอนนี้ เพิ่งได้รับฟังฝ่ายเดียว แม้กระนั้นจากข้อมูลที่ได้รับฟังมั่นใจว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหา คู่ปรับได้ คือ ฆ่าคนอื่นโดยไม่เจตนา หรือ ทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้คนอื่นถึงแก่ความตาย
จะสั่งให้พนักงานที่ทำหน้าที่สอบสวน สภ.วังสามหมอ รีบทำงานสอบปากคำ ประจักษ์พยาน ทั้งสองฝ่าย
รวมทั้ง ถ้าพี่น้องผู้เสียชีวิตมั่นใจว่า มีประจักษ์พยานอื่น หรือหลักฐานอื่น ก็เอามาให้ตำรวจ นอกจากนั้นผลวิเคราะห์การเสียชีวิตของแพทย์ ก็เป็นหลักฐาน ซึ่งจึงควรไปซักถามปากคำ จากแพทย์ที่ทำการรักษา ขอรับรองว่าตำรวจจึงควรรับแจ้งความแน่นอน รวมทั้ง ให้ทั้งสองฝ่าย ไปพิสูจน์เรื่องจริงกันบนศาล
More Details