Jan 17, 2023
ทำอย่างไรดี เมื่อ “กัญชาเสรี” บุกโรงเรียน
วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกข้อผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือขาย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความรู้สึกกลุ้มใจให้กับหลายฝ่าย ด้วยเหตุว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อรับมือกับคำตอบที่จะตามมา
หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ส่งผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”
ความพยายามสำหรับเพื่อการขัดขวางกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม กลายเป็นเรื่องยาก และกลายเป็นความไม่ค่อยสบายใจที่ “อาจารย์” ต้องหาทางจัดการกับกัญชา ที่ไหลหลากเข้ามาในโรงเรียน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อาจารย์ผู้คนจำนวนมากรวมกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่อาจจะกลายเป็นปัญหาแพร่กระจายใหญ่โต หากว่าไม่มีมาตรการต่อกรที่ชัดเจน
เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน
ครูคนไม่ใช่น้อยเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนจะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เจอกับปัญญา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งจำนวนมากจะมีต้นเหตุจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอาการง่วง หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ ขณะที่ครูมักจะใช้ ขั้นตอนการว่ากล่าว ซึ่งทำให้เด็กนักเรียนไม่ได้อยากต้องการมาเรียน เนื่องจากว่ารู้สึกอับอาย และหวาดกลัว
จากการสังเกตของครูผู้คนจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมขโมยของ และใช้กัญชาในเด็กนักเรียนมีมากขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งเป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ถึงแม้อาจารย์จะต้องรับมือกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางขจัดปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่ครูที่เข้าร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นคุณครูเหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เนื่องด้วยการเข้าถึงรากของปัญหา ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่แม้จะถูกบอกว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อนักเรียนก้าวเท้าออกมาจากโรงเรียน ก็สามารถพบเจอการซื้อขายกัญชาได้โดยง่าย จึงทำให้ปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ปัญหาที่อาจารย์ต้องเผชิญ
ปัญหาข้อหนึ่งที่อาจารย์สะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว แต่ข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่บอกว่า การใช้กัญชาจะก่อให้อารมณ์เบิกบาน ช่วงเวลาเดียวกันครูเองก็ขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้คุณครูไม่มีความพร้อมสำหรับการสอน หรือต่อกรกับเด็กที่ใช้สารเสพติด
ในทางกลับกัน อาจารย์นิดหน่อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-จุดอ่อนของกัญชา และพยายามเชิญชวนนักเรียนพูดคุยแลกเปลี่ยนแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับมิได้รับการสนับสนุนหรือไม่มีคุณครูท่านอื่นร่วมด้วย เพราะฝ่ายกิจการนักเรียนเห็นว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องตลกโปกฮา และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ
เช่นกัน แม้นักเรียนจะมีความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ เนื่องจากขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม
ครูผู้คนจำนวนมากชี้ว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของสถานการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ นำมาซึ่งการทำให้ครูทำงานลำบาก อาจารย์เสมือนตกอยู่ในเหตุการณ์ออกรบแต่ไม่มีอาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่บ่งบอกทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนถึงกระบวนการจัดการกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างแม่นยำ และไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของนักเรียน
นอกจากนั้น ภาระหน้าที่งานอื่นๆจำนวนไม่น้อยที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ครูคนไม่ใช่น้อยเลือกที่จะละเลยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้คุณครูรุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยน แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนอาจารย์ หรือผู้ปกครอง ก็ส่งผลให้ครูคนจำนวนไม่น้อยยอมแพ้ไปในที่สุด
ทางออกสำหรับทุกคน
คุณครูที่ร่วมวงสนทนาสะท้อนว่า ทางออกของหัวข้อกัญชาเสรีในโรงเรียนคือ สร้างการทำความเข้าใจที่เปิดกว้าง ให้นักเรียนได้ตั้งปัญหากับการใช้กัญชา สร้างโอกาสให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมทั้งสร้างโอกาสให้ มีการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเรียน ครู และผู้บริหาร เช่นเดียวกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พูดถึงข้อดี – ข้อบกพร่องของการใช้กัญชาอย่างไม่อ้อมค้อม และสามารถเข้าถึงข้อมูลกลุ่มนี้ได้ง่าย
ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมองค์กรที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยคุณครูที่ร่วมวงคุยให้ความเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ นักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกับการสื่อสารกับผู้เรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เนื่องจากว่าอาจารย์กับนักเรียนใช้คนละภาษา
ยิ่งไปกว่านั้น ความนิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี คุณครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ยอมรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลให้การเห็นคุณค่าในตัวเอง และกลับตัวกลับใจให้ดีขึ้น ของเด็กนักเรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น การทำงานกับความเชื่อของอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น จึงเป็นสิ่งจำเป็นเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถไว้วางใจและเสวนาได้ ซึ่งจะทำให้เด็กนักเรียนรู้สึกปลอดภัย เกิดความเชื่อใจและไว้ใจ นำมาซึ่งความรู้สึกมั่นใจ และสะท้อนการเห็นคุณประโยชน์ในตนเอง ที่เยอะขึ้น
สุดท้ายคือความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในสถานศึกษาที่กำลังจัดการกับปัญหาเรื่องการใช้กัญชาของเด็กนักเรียน รวมถึงนโยบายที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อปกป้องรักษาเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อตำหนิของมัน เหมือนกับป้องกันไม่ให้กำเนิดเป็นปัญหาที่จะถั่งโถมเข้าใส่อาจารย์ จนถึงคุณครูรู้สึกหมดพลังกับการแก้ไขปัญหารายวัน และตัดทอนเลื่อมใสของครูที่ตั้งใจมาให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กนักเรียน
More Details