Jan 31, 2023
ครบรอบ 2 ปีของ รัฐประหารพม่า ปูทางเลือกตั้งเอื้อพรรคทหาร

พรุ่งนี้ 1 เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป็นวาระครบรอบ 2 ปีของการก่อ รัฐประหารพม่า โดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย สถานการณ์ความเครียด, ปัญหาเศรษฐกิจ, การล่มสลายของประชาสังคม และการถูกประชาโลกโดดเดี่ยว ดูเสมือนจะเพิ่มความร้ายแรงมากขึ้นทุกเมื่อ ทุกสัญญาณแสดงว่ากองทัพเมียนมาจัดแจงผนึกอำนาจต่อ และแม้ว่าจะกล่าวถึงว่า จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วๆไป ในปีนี้ แต่ก็มีการ ออกกฎเลือกตั้งตัดช่องทางคู่แข่งโดยยิ่งไปกว่านั้นแกนการเมือง ที่นำโดยอองซานซูจี ที่วันนี้เปลี่ยนเป็นผู้ถูกศาลทหาร สั่งเข้าคุกในหลายคดี เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว

สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลทหารของเมียนมา ประกาศกฎเกณธ์กติกาการเลือกตั้งใหม่ สำหรับพรรคการเมืองที่จะลงเเข่ง ในสนามเลือกตั้งปีนี้ มีเนื้อหาที่เขียนเงื่อนไขกล่าวถึงคุณสมบัติของพรรคการเมือง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่เพิ่มเกณฑ์ให้ยาก และสลับซับซ้อนมากขึ้น ชัดเจนว่า เพื่อเป็นการปูทางสำหรับบทบาทของกองทัพ เพื่อผูกขาดอำนาจทางการเมืองต่อไป

โดยให้การจัดแจงเลือกตั้งเป็นเพียงการจัดฉากให้ดูดีเพียงแค่นั้น พรุ่งนี้เมื่อสองปีกลาย กองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารและก็ให้คำมั่นว่าจะจัดแจงเลือกตั้งในสิงหาคมปีนี้ ตามกฎกติกาชุดใหม่ ที่ประกาศผ่านสื่อของรัฐ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา พรรคการเมืองต่างๆ ที่ต้องการลงเเข่งเลือกตั้ง ในคราวนี้ ในระดับประเทศ ต้องมีสมาชิกพรรค อย่างต่ำ 1 แสนคน มากขึ้นจากคุณสมบัติเดิม ที่กำหนดให้ควรจะมีสมาชิก 1 พันคนเท่านั้น

ปูทางเลือกตั้งเอื้อพรรคทหาร

ยิ่งไปกว่านี้ รัฐประหารพม่า พรรคที่เข้าเกณฑ์ใหม่ จึงควรแสดงความจำนงว่าจะลงเเข่งขันใน 60 วันจากนี้

หากช้ากว่านี้ก็จะถูกให้ออกจากระบบทะเบียน พรรคการเมือง แน่นอนว่าพรรคที่มีความพร้อมเพรียงที่สุดในยามนี้ ก็คือพรรคที่เป็นตัวเเทน ของทหารเมียนมา นั่นคือ Union Solidarity and Development Party (USDP) ซึ่งมีสมาชิกจำนวนมาก ที่เป็นอดีตนายพลของกองทัพ พรรคนี้ปราชัยเลือกตั้งต่อพรรค National League for Democracy หรือ NLD ของนางอองซานซูจี ในปี 2005 และ 2020 อย่างหมดท่า

ก่อนกองทัพทำ รัฐประหาร โค่นรัฐบาลของซูจีในปี 2021 โดยอ้างว่ามีการโกงการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ฝ่ายทหารไม่เคยแสดงหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวอ้างนี้อย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด วันนี้ สมาชิกพรรค NLD หรือพรรคสันนิบาตแห่งชาติ เพื่อประชาธิปไตย ถูกจองจำ หรือโดนจับไปแล้วหลายพันคน นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีอีกปริมาณมากที่จำต้องแอบตัวเพื่อหนีการตามไล่ล่าของทหาร ที่ยิ่งวันยิ่งเพิ่มความรุนแรง สำหรับการปฏิบัติต่อผู้คัดค้าน การใช้อำนาจเผด็จการของกองทัพ

นักวิเคราะห์ที่ติดตามการเมืองพม่ามายาวนานตั้งข้อคิดเห็นว่ากฎใหม่ ที่ถูกเพิ่งประกาศออกมานั้น ไม่ต้องสงสัยว่ามีเป้าหมาย เพื่อเกื้อหนุนระบบการเมือง ที่ทหารสามารถมีบทบาทเข้าควบคุม ได้อย่างเต็มที่ มีปัญหาว่าตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา แม้ว่าผู้นำทหารพม่าจะถูกโดดเดี่ยว โดยนานาชาติ แต่ไฉนจึงยังสามารถเอาตัวรอดมาได้ถึงปัจจุบันนี้

ทำไมมาตรการคว่ำบาตรจากประเทศต่างๆ จึงไม่เป็นผลทำให้มิน อ่อง หล่ายจะต้องยอมผ่อนปรนมาตรการปราบปรามประชาชน อย่างหนักของตน คำตอบเป็นผู้นำทหารพม่าคนนี้ พยายามฉวยจังหวะและช่องทางที่มีความปริแยกของประเทศใหญ่ๆ ในสังคมโลกเพื่อยังสามารถแทรกตัวให้ได้รับความให้การช่วยเหลือจากประเทศที่อยู่คนละข้างกับโลกตะวันตก

เดิมทีสหรัฐฯ และยุโรปหวังว่าแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และการทูตจะบีบให้กองทัพเมียนมายอมยอมตามแต่จำเป็นต้องเลิกใช้ขั้นตอนการเผด็จการ กับผู้เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ผู้นำทหารพม่ากลับหาผลประโยชน์จากความแตกแยกทั่วโลก โดยยิ่งเข้ามากลุ่มประเทศ ที่มีมีความขัดแย้งกับประเทศตะวันตก

การเข้าจับกุมยาเสพติดในประเทศไทยเมื่อเร็วๆนี้ พบว่า ลูกชายของ นายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมหรูค่าเกือบ 30 ล้านบาทในใจกลางกรุงเทพฯ ผลของการสอบสวนยังเจอ สมุดบัญชีเงินฝาก ของบุตรสาวนายพล ของสถาบันการเงินชั้นหนึ่งแห่งหนึ่งของไทย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร ต่อเจ้าหน้าที่ทหารของเมียนมา และบริษัทในเครือทางด้านทหารหลังการยึดอำนาจ ในก.พ. พ.ศ. 2021 อีกทั้งทรัพย์สินของลูกๆของมิน อ่อง หล่ายก็ถูกอายัดในสหรัฐอเมริกา

หลายประเทศลดระดับความเกี่ยวพันทางการทูตกับพม่า รวมถึงการไม่ส่งเอกอัครราชทูตไปประจำพม่า สถาบันป้องกันประเทศของญี่ปุ่นจะหยุดรับนายทหาร จากเมียนมาในปีงบประมาณใหม่นี้ กองทัพเมียนมาตอบโต้ว่า มาตรการต่างๆกลุ่มนี้ถือเป็นการแทรกแซง กิจการภายในประเทศ แต่จีนและรัสเซียยังคบหาพม่าในระดับเดิม พม่ายังคงรักษาความเกี่ยวพันทางด้านเศรษฐกิจที่เหนียวแน่นกับจีน และประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆที่ไม่ใฝ่ใจตะวันตก

น่าเชื่อได้ว่า คนที่เกี่ยวข้องกับการทหารหลายๆคนก็คงถือสิทธิ์ทรัพย์สิน และเป็นเจ้าของธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านพม่าเช่นเดียวกับลูกของ มิน อ่อง หล่าย เหมือนกัน พม่ายังคงติดต่อค้าขายกับเพื่อนบ้าน บางกลุ่ม จีน ประเทศอินเดีย และไทยรวมกันมีรูปทรงมากกว่า 50% ของการค้าทั้งหมดของเมียนมา ในทางตรงกันข้าม สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรปมีสัดส่วนแค่ 14%

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเศรษฐกิจของเมียนมาวันนี้ ยังมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่รุ่งโรจน์ก็ตาม กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดว่าสินค้ามวลรวมภายในประเทศ ที่โดยความเป็นจริงของเมียนมาจะเติบโตมากกว่า 3% ในปีงบประมาณปีใหม่นี้ ถือได้ว่าเป็นการฟื้นจากการหดตัว 18% ในปีงบประมาณปี 2021

รัฐประหารพม่า

ก็ด้วยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจนี่แหละที่ทำให้กองทัพสามารถเริ่มวางแผนเลือกตั้งทั่วๆไปได้เร็วสุดในส.ค.นี้

โดยหวังว่าจะมอบอำนาจให้พรรคในเครือข่ายทหาร เพื่ออ้างความชอบธรรมกับสังคมโลกว่า ได้จัดให้การเลือกตั้ง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแล้ว นอกจากนี้ เมียนมายังกระชับความข้องเกี่ยวกับรัสเซีย ซึ่งมีความขัดแย้งกับชาติตะวันตก ในเรื่องการทำศึกยูเครน พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย พบกับประธานาหัวหน้ารัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ในกันยายน เพื่อยืนยันความร่วมแรงร่วมใจทวิภาคี เมื่อเดือนธันวาคมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ลงมติมติครั้งแรก ที่เรียกร้องให้เมียนมาร์เป็นประชาธิปไตย แต่รัสเซีย จีน และประเทศอินเดียงดเว้นออกเสียง

สำหรับกองทัพเมียนมา การเป็นแถวร่วมกับรัสเซีย และจีนได้ประโยชน์อย่างหนึ่งตรงที่ไม่กลุ้มอกกลุ้มใจเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก เท่ากับสหรัฐฯ และยุโรป เดี๋ยวนี้ ออง ซาน ซูจี ยังถูกคุมตัวหลังการปฏิวัติ และถูกตัดสินติดคุกรวม 33 ปีแล้วในหลายๆคดี กองทัพยังคงทรมาน และประหารชีวิตฝ่ายตรงข้าม สมาคมช่วยเหลือผู้ต้องขังการเมืองระบุว่า ข้าราชการ 2,827 คนถูกฆ่าตั้งแต่การยึดอำนาจ ไม่แต่แค่นั้น กองทัพพม่ายังได้เดินหน้าโจมตีทางอากาศต่อกลุ่มต่อต้านติดอาวุธ และเผาหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านสำหรับเพื่อการรบ บ้านที่พักมากกว่า 48,000 หลังถูกทำลายจนกระทั่งสิ้นเดือนธันวาคม

อาเซียนหรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่อาจจะจะบีบคั้นให้กองทัพพม่า ยอมประพฤติตาม “ฉันทามติ 5 ข้อ” เพื่อให้อาเซียนช่วยสร้างสมานฉันท์ในประเทศนั้น ดูเหมือนกับรัฐบาลทหาร ของเมียนมาจะมีความมั่นใจมากขึ้น เกี่ยวกับการกุมอำนาจรัฐของตนเองด้วยซ้ำ

ในการกล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันเอกราชปีที่ 75 ของเมียนมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา มิน อ่อง หล่ายประกาศจะรักษาความเกี่ยวข้องฉันท์มิตรกับ เพื่อนบ้านอย่าง จีน ไทย และอินเดีย “ผมขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจสำหรับความร่วมมือและข้อเสนอแนะขององค์กรระดับนานาชาติและระดับภูมิภาคและประเทศต่างๆ ท่ามกลางแรงกดดันและการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา” เขากล่าว ผมไม่แน่ใจว่าเราควรจะดีใจหรือกังวลที่เขากล่าวขอบคุณประเทศไทยด้วย?

More Details